วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

พล พต ผู้นำเขมรแดง


บุคลสำคัญ
พล พต
    ผู้นำเขมรแดง

   

   ซาลอท ซาร์ (Saloth Sar) หรือ พล พต (Pol Pot) (1925-1998) เป็นผู้นำเขมรแดง และเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาในปี1976 ถึง1979
พอล พต มีชื่อเดิมว่าชาลอท ชาร์ เกิดเมื่อปี 1925 ณ ที่เมืองกำปงธม ในครอบครัวเศรษฐีหัวสมัยใหม่ พ่อเป็นเจ้าที่ดินที่มั่งคั่ง

     พอล พตในตอนเด็กนั้นไม่มีเค้าของผุ้นำที่โหดร้ายในอนาคตสักนิด เขาเป็นเด็กเรียบร้อย มารยาทงาม ชอบคิดคนเดียวเงียบๆ มากกว่าจะพูด คะแนนการเรียนใช้ว่าจะดีเลิศมากมายนัก แต่กระนั้นพอตพตก็มีดีอยู่อย่างคือเขาเก่งภาษาฝรั่งเศส และความที่เป็นเด็กเส้น ทำให้เขาได้ทุนเรียนเมืองนอกที่กรุงปารีทในสาขาเกี่ยวกับไฟฟ้าและคลื่นวิทยุเมื่อปี 1949
แม้จะไปเรียนนอกก็ตามแต่พอลพตใช้ว่าจะตั้งใจเรียนมากนัก คะแนนสอบเขาห่วยจัด เอาแต่หมกอ่านหนังสือไปวันๆ
      ในเวลานั้น นายเขียว สัมพันธ์ ซึ่งเป็นนักเรียนนอกเขมร ก็เข้ามาเป็นในชีวิตของพอตพต
ตอนแรกๆ นายเขียวมาเป็นเพื่อนคุยกับพอตพตทั้งสองพูดกันถูกคอมาก นายเขียวจึงเอยปากทฤษฎีที่เขาศึกษาว่านี้คือวิธีการปกครองที่เหมาะแก่ประเทศกัมพูชาแก่พอล พต ว่า
ลบลางกฎเกณฑ์ และเรื่องราวทุกอย่าง ของชาติตะวันตก (ฝรั่งเศส) ที่เคยวางรากฐานปกครองกัมพูชาเอาไว้ ยุติการแสวงประโยชน์ในทุกทาง ให้ประเทศกัมพูชาเจริญในการปกครองแบบชนบท คือ ไม่มีเมืองใหญ่ ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม ไม่มีระบบเงินตา และไม่มีการศึกษา
แม้ทฤษฏีนี้จะเป็นแค่ลมปากของนายเขียว แต่พอล พตชอบใจมาก เขาคิดว่าจะนำทฤษฏีนี้มาใช้กับประเทศกัมพูชาในอนาคต
    จากนั้นพอล พตก็เริ่มหลงใหลคอมมัวนิตส์ อีกสองปีเขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสที่มีอุดมการณ์หลักคือต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส และเริ่มทำกิจกรรมกับกลุ่มเหล่านั้น โดยวีรกรรมเด็ดของเขาเขาส่งจดหมายไปยังประณามสมเด็จสีหนุ ประนาม ส่งผลให้ทางการกัมพูชาตัดทุนพอล พตในที่สุด

    
  
เมื่อไม่มีทุนบวกกับคะแนนเก็บห่วย พอต พตจำต้องกลับไปประเทศกัมพูชา และใช้ชีวิตสองหน้าคือ หน้าหนึ่งเป็นครูสอนครูสอนหนังสือของโรงเรียนเอกชนในกรุงพนมเปญ และหน้าสองทำงานใต้ดินเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ของเขมรไปด้วย
   ปี 1963 พอล พตจำต้องลี้ภัย เขาเลือกที่จะหนีไปเวียดนาม และขอความช่วยเหลือจากเวียดนามเหนือจัดตั้งกองกำลัง เป็นเขมรแดงหรือกลุ่ม Khmer Rouge (Red Cambodians) แต่ในตอนนั้นเวียดนามเหนือกำลังสู้กับสหรัฐทำให้ไม่สามารถช่วยพอตพตอะไรมากนัก
  พอล พตสิ้นหวังกับเวียดนามเหนือ เขาเลยก็เดินทางมายังจีน เขาได้รับการตอนรับอย่างดีจากพวกซ้ายจัด อีกทั้งเขาได้แนวคิดใหม่ๆ จากจีนอยากนำมาใช้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการ ปฏิวัติอุตสาหกรรม นโยบายก้าวกระโดด
ในปี 1966 พอล พต กลับมากัมพูชา เวลานั้นประชาชนเขมรกำลังทะเลาะกัน เนื่องด้วยพวกชาวนา ออกมาต่อต้านรัฐบาลของสมเด็จสีหนุเพราะไม่สามารถแก้ไขราคาข้าวได้ ทำให้ชาวเขมรหลายคนเข้าร่วมพรรคคอมมัวนิสต์ของพอล พตมากยิ่งขึ้น
   จากนั้นเป็นต้นมาสงครามกลางเมืองเขมรก็เริ่มต้นขึ้น แม้ทหารจากรัฐบาลจะมีจำนวนมากกว่ากองกำลังของพลพต และเวียดนามเหนือไม่มาช่วยเหลือก็ตาม แต่กระนั้นปี 1968 พอล พตก็ก้าวมาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของกลุ่มเขมรแดง มีผู้ติดตามนับร้อย ปกป้องเขาอย่างกับไข่ในหิน
      
     พอลพตกล่าวว่าปีเป็นปีที่เริ่มศักราชใหม่ของเขมร หรือเรียกว่าเป็นปีศูนย์ (Year Zero) เขมรจากเปลี่ยนโฉมเสียใหม่เป็นประเทศที่ประชาชนมีฐานะเท่าเทียมกัน และแล้วทฤษฏีเขียว สัมพันธ์ จึงปัดฝุ่นเพื่อนำมาใช้ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นความเลวร้าย ความตายครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์
รูปแบบการปกครองของเขมรแดงมีจุดประสงค์เพื่อสร้าง "สังคมใหม่" โดยใช้รากฐานทางอุดมการณ์ที่เรียกว่า "อุดมการณ์ปฏิวัติแบบเบ็ดเสร็จ" (ideology of total revolution) ที่มีการรักษาเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ เป็นตัวขับเคลื่อน
    เขมรแดงเริ่มใช้วิธีที่รุนแรงปกครองประเทศ เพื่อปรับปรุงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมพึ่งตัวเอง รวมถึงการโดดเดี่ยวประเทศออกจากอิทธิผลต่างชาติ ปิดโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร เงินตรา ฯลฯ


    สิ่งแรกที่เขมรแดงกระทำหลังจากได้รับอำนาจ คือ การกวาดต้อนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดจากกรุงพนมเปญและเมืองสำคัญอื่น ๆ เพื่อหลบหนีการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินของสหรัฐฯที่ไม่พอใจว่ารัฐบาลที่ตัวเองหนุนถูกโค่นล้ม พอล พตอ้างว่าการเดินทางนี้ไม่ไกลมากนัก และใช้เวลาปรมาณสองสามวันก็กลับบ้านได้ หลังจากนั้นถนนในกรุงพนมเปญก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทุกคนหวังว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตที่ดี ดีกว่ารัฐบาลก่อนหน้า แต่หารู้ไม่ว่าพอล พตนั้นโกหกหน้าด้านๆ สิ่งที่ชาวบ้านพวกนี้ต้องเผชิญคือการก็ถูกบังคับให้เข้าระบบนารวม ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้มีเสบียงเลี้ยงคนทั้งประเทศ กรุงพนมเปญกลาบเป็นเมืองร้างที่เต็มไปด้วยครอบครัวของผู้นำเขมรแดง โรงพยาบาลก็ร้างคนเพราะคนไข้คนเจ็บหนักก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย

       
     แน่นอน เมื่อประชาชนถูกสั่งให้ทิ้งบ้านช่องเพื่อไปทำงานให้พวกเขมรแดงอย่างทันควัน มีหรือที่จะไม่มีการต่อต้านจากชาวเขมร
   แต่คำตอบของเหล่าผู้คุมชาวเขมรแดงตอบ คือการทรมาน การทุบตี การทารุณกรรมทางเพศอย่างย่ำยี รวมไปถึงการสังหารหมู่อันเป็นตำนานที่โหดเหี้ยมที่สุดในเขมร

        นอกจากนี้ พอล พต ยังเร่งสร้างเครื่องจักรสังหารเพื่อเข้าสู่กองทัพเขมรแดงทันที โดย การนำเด็กอายุตั้งแต่12-15 ปี มาเดินแถวเข้ากัน จากนั้น ผู้คุมชาวเขมรแดงจะนำตัวนักโทษการเมืองมาครั้งละมากๆ มาผูกมือ ปิดตาไว้ หลังจากนั้น ผู้คุมจะยื่นไม้หน้าสามหรืออาวุธบางชนิดให้เด็กชายเพื่อนำไปฟาดผู้เคราะห์ร้ายให้ตายไปข้างหนึ่ง ถ้าใครกล้า ใครทำดี ก็จะให้บรรจุเป็นทหารในกองทัพ
นอกจากนี้ ในการทำงานที่คอมมูน ซึ่ง ใช้แรงคนถึง10,000คน มีการพักผ่อนอันน้อยนิดและอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่สามารถรองรับคนงานที่ทำงานกลางไร่ กลางแจ้ง เกินวันละ 10 ชั่วโมงได้
คนป่วย สตรีมีครรภ์ คนชราและเด็กทารกเพิ่งคลอดคือผู้รับเคราะห์เนื่องจากมีอัตราการตายสูงมาก เพราะร่างกายไม่สามารถทำงานหนักๆได้ บางครั้งผู้หญิงที่เพิ่งคลอดจะถูกสั่งให้ไปทำงานหลังพักคลอดเพียง2-3วันเท่านั้น
ใครที่ทำงานไม่ได้หรือป่วยหนัก มักมีจุดจบอยู่ที่การถูกนำไปยิงทิ้งทันที จากนั้นศพของเขาและเธอเหล่านั้นจะถูกส่งลงหลุมฝังหมู่ทันที

ส่วนผู้ป่วย คนพิการ ถือเป็น ตัวถ่วงความเจริญของประเทศ พรพตก็ไม่รอช้าที่กำจัดบุคคลเหล่านี้
การกำจัดมีหลายวิธี แต่ต้องให้โอกาสก่อน(ช่างเมตตาเหลือเกิน) นี่คือคำชี้แจงของเขียว สัมพันธ์ เพราะแม้จะพิการ สติไม่ดี ก็จะนำมาใช้แรงงานเหมือนบุคคลปรกติ และไม่แปลกใจเลย ที่ทำไม คนด้อยโอกาสเหล่านี้จึงดินกระเสือกกระสนเพราะพิษจากการถูกทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นการลงหวาย สหบาทาจากผู้คุมเขมรแดง
จากนั้น เมื่อหาประโยชน์จากเขาเหล่านั้นไม่ได้ สิ่งที่จะใช้ปิดฉากนั้นคือ การฟาดให้ตาย หรือสาดตะกั่วสังหารเขาเหล่านั้น
ผู้ใดหลบหนีจากคอมมูน จะถูกนำไปฝังทั้งเป็น จากนั้นชาวเขมรแดงจะทำกิจกรรมหลายๆอย่างจากร่างของเหยื่อเหล่านั้นเช่น การปัสสาวะ ถ่มน้ำลายรวมไปถึงการทุบตีขณะที่เหยื่อไม่สามารถปกป้องตนเองได้
แต่คนจำนวนมากที่หลุดหนีออกมาด้วยความหิวโหยถึงขีดสุด เพื่อหาโปรตีนมาเสริมในร่างกาย ทว่า...ในคอมมูนกักกันจะหาโปรตีนที่ไหนได้นอกจาก...ซากศพของคนงานด้วยกันที่พวกเขาเห็นว่าเพิ่งถูกสังหาร พวกเขาจะวางแผนกันยามค่ำขณะที่ทหารเขมรแดงเผลอไผล รีบไปยังหลุมฝังเพื่อฉีกกระชากซากศพ เพื่อนำเลือดและเนื้อจากซากศพไปหลอมเป็นโปรตีนแก่ร่างกายเพื่อจะได้มีชีวิตรอดต่อไปในวันข้างหน้า
ผู้ที่รอดพ้นทหารเขมรแดงเมื่อรอดก็รอดไป แต่เมื่อเขาถูกจับได้ ผลที่ตามนั้นอาจทรมานยิ่งกว่าความตายก็เพียงได้
ทหารเขมรแดงจะนำเชือกรัดมือ รัดเท้า เป็นแท่นตรงๆ เพื่อนำไปเสียบกับหลุมที่ขุดไว้ จัดการฝังรากลึกลงไป แค่นั้นอาจยังไม่อำมหิตพอมือ เพราะหลังจากนั้น เขาจะกลับศีรษะของเหยื่อกินศพรายนั้นและเอาศีรษะของเขาจิ้มลงพื้นดิน เสมือนนกกระจอกเทศที่เมื่อตกใจ จะฝังหัวลงไปในพื้นดิน

แน่นอนเหล่านักกินศพไม่อาจทนได้ กับการฝังให้หายใจไม่ออกจนตาย ในที่สุด พวกเขา ก็ได้ตาย
4ปีแห่งความทรมานของชาวเขมร กับแผนพัฒนาประเทศ(หรือแผนสังหารประเทศ) ของเขียวสัมพันธ์ จนในที่สุด พอล พต ได้ตัดสัมพันธ์กับเวียดนาม พันธมิตรเก่าอย่างไร้เยื่อใย
เวียดนามโกรธมากที่กัมพูชาทำอย่างนั้น จึงได้ส่งกองกำลังขนาดใหญ่บุกกัมพูชาในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ปี ค.ศ.1978 ได้ชัยชนะในกลางเดือนมกราคม ค.ศ.1979 ขับไล่พวกเขมรแดงออกไปจนไปตั้งหลักอยู่บริเวณติดกับชายแดนประเทศไทย ใกล้ๆตราดและอุบลราชธานี จนกระทั่งกลับกลายเป็นกลุ่มกองโจรกระจอกในที่สุด
ส่วนพอล พตและเขียวสัมพันธ์ และผู้นำระดับสูงคนอื่นๆ หนีรอดไปได้
ข่าวคราวของ พอล พตและเขียวสัมพันธ์ หายไปจากประวัติศาสตร์เขมรนานนับสิบปี(มีข่าวว่ารัฐบาลไทยช่วยเหลือหาที่หลบซ่อนพอล พต)
จากนั้นดูเหมือนจะเป็นเวรกรรมพอตพตป่วยเป็นโรคร้ายเขาอัมพาตครึ่งตัว แต่กระนั้นเขาก็ยังเป็นผู้นำเขมรแดงอยู่ แม้ว่าเขาจะสละอำนาจไปให้คนอื่น แต่คนพวกนี้ก็เป็นเพียงหุ่นเชิดของพอล พอตเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเขมรแดงของพอล พตก็ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไรอีกแล้ว สมาชิกสำคัญหลายคนของเขมรแดงยอมจำนนและเข้าร่วมรัฐบาล ขนาดขนาดนายเล็ง สารีซึ่งเป็นน้องเขยของ พอล พต ยังขอยอมแพ้ หรือแม้แต่ตัวนาย ซอน เซน ก็ถูกพรพตยิงทิ้งข้อหาที่พยายามหักหลังชีวิตพอล พตช่วงสุดท้ายเหมือนชายชราที่หลงลืมๆ อัลไซเมอร์ ที่เอาแต่พูดเรื่องอดีตและอยู่สิ้นหวัง จนสมาชิกเขมรแดงบางคนมีความคิดว่าจะส่งเขาไปศาลพิเศษสำหรับอาชญากรต่อมวลมนุษยชาติเพื่อตัดสินที่จะเกิดขึ้น
แต่ความคิดนี้ก็สายไปเสียแล้วในคืนวันที่ 15 เมษายน 1997 นายพอล พตก็เสียชีวิตอย่างสงบภายในกระท่อมที่คุมขังเขา คนใกล้ชิตของพอลพตบอกว่าเขาตายเพราะโรคหัวใจ ถึงแม้หลายฝ่ายจะพยายามเข้าไปตรวจสอบศพ แต่อีกสองวันให้หลัว ศพของ พอล พตก็ถูกเผาท่ามกลางกองขยะและกองยาง อันยังทำให้ชาวโลกสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่า พอล พตเสียชีวิตเพราะอะไรกันแน่ ?
วันต่อมา ร่างไร้วิญญาณของ พอล พต ถูกฌาปณกิจด้วย ยางรถและกองขยะอย่างไร้ศักดิ์ศรี
"I came to carry out the struggle, not to kill people. Even now, and you can look at me, am I a savage person?"
"ผมมาเพื่อต่อสู้สำหรับชนชั้นกรรมาชีพ (ชาวนา) ไม่ใช่มาฆ่าคน แม้บัดนี้ คุณสามารถมองมาที่ผมได้ ผมเป็นคนเลวร้ายขนาดนั้นหรือ ?"
นี่คือคำกล่าวสุดท้ายที่มีต่อโลก ของ พอล พต (ต่อหน้าผู้สื่อข่าวบุกไปสัมภาษณ์และถามถึงความรับผิดชอบของเขาที่มีต่อการตายของเพื่อร่วมชาติสองล้านกว่าคน)


ส่วนสมาชิกเขมรแดงที่มีส่วนร่วมสังหารหมู่ ต่างคนก็ได้รับผลกรรมหรือตายก่อนได้รับผลกรรม เช่น นายพล ตา ม็อคเพื่อนพอล พตนั้นก็ถูกทหารของรัฐบาลจับในปี 1999 เขาเสียชีวิตในคุกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2006, สหายดุช หัวหน้าคุกนรกติดคุก ขณะที่ผู้นำหลายคนยังใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในชนบท กระบวนการศาลของเขมรนั้นไปอย่างเชื่องชาเพราะว่ามีนักกฎหมายกัมพูชาพยายามช่วยเหลือ อีกทั้งผู้นำเหล่านี้ส่วนมากชราภาพและมีปัญหาเรื่องสุขภาพจนไม่ความจำเป็นต้องขึ้นศาล ปล่อยตายเพราะหมดอายุไขไปเถอะ และที่น่าสนใจคือเกือบทั้งหมดอาจตายเพราะโรคชรามากกว่าจะตายเพราะการตัดสินด้วยซ้ำไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น